เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะพึ่งเคยได้ยินชื่อจังหวัดมิเอะกันก็คราวนี้แหละ
และคงจะอยากรู้ว่าจังหวัดมิเอะนี้มีอะไรน่าสนใจบ้างใช่ม๊า ^^
ทริปนี้วิวเลยจะมาแนะนำ9 สถานที่เที่ยวในจังหวัดมิเอะ ที่ไม่ควรพลาดกันค่ะ
เพราะหลังจากที่วิวได้ไปสัมผัสเมืองนี้ด้วยตัวเองแล้ว บอกเลยว่าหลงรักมากๆ เพราะนอกจากจะมีที่เที่ยวที่น่าสนใจแล้ว ยังเป็นเมืองที่เรียบง่ายและสงบสุดๆเลย
สำหรับการเดินทางไปจังหวัดมิเอะ เราสามารถไปลงที่สนามบินที่ใกล้ที่สุดได้ 2 สนามบินค่ะ คือ Chubu Centrair International Airport ที่นาโกย่า และ Kansai International Airport ที่โอซาก้า
โดยครั้งนี้วิวเลือกบินกับสายการบิน AirAsia X จากสนามบินดอนเมืองไปนาโกย่าค่ะ เพราะตอนนี้ AirAsia X เค้ามีบินตรงไปลงที่นาโกย่าเลย ทำให้สะดวกมากๆ ที่สำคัญราคาตั๋วก็แค่หลักพันเอ๊งง เจอแบบนี้ใครไม่รีบสอยมาก็บ้าแล้ว!
เมื่อถึงสนามบินนาโกย่า สิ่งแรกที่ต้องขอทำก่อนการเดินทางไปเที่ยวทั้งปวง คือหาไอเท็มเด็ด ตัวช่วยเรื่องการเดินทางค่ะ
จะบอกว่าทริปนี้ทั้งทริปวิวมีเจ้านี่ช่วยให้การเดินทางไปจุดท่องเที่ยวต่างๆสะดวกขึ้นมาก นั่นก็คือ Kintetsu Rail Pass นั่นเองงง!
วิวเลือกซื้อแบบ Kintetsu Rail Pass Plusค่ะ ราคาอยู่ที่ 5,000 เยน
ใบนี้จะสามารถขึ้นรถไฟKintetsu และรถบัส Mie-kotsuได้แบบไม่จำกัดครั้งภายใน 5 วันแหละ คือคุ้มมากๆบอกเลย ขึ้นวนไปกี่รอบก็ได้อ่ะ
โดย Kintetsu Rail Pass จะสามารถใช้เที่ยวได้5 เมืองสำคัญ ได้แก่ นาโกย่า โอซาก้า เกียวโต นารา และมิเอะ
เรียกได้ว่าคุ้มมาก คุ้มจริงๆ คือนี่จบทริปแล้วดีใจมากที่มีเจ้าใบนี้ เพราะมันทำให้สะดวกมากจริงๆค่ะ ไม่ต้องคอยมาหยอดตู้ซื้อตั๋วรถไฟหรือขึ้นรถบัส
ถ้าใครตามรอยทริปนี้ วิวจะพาไปเที่ยวแบบไม่ต้องเสียค่าเดินทางไรเพิ่มอีกเลย มีพาสใบนี้ใบเดียวคือจบ!
และที่สำคัญเจ้าพาสนี้ยังใช้เป็นส่วนลดในการเข้าสถานที่ต่างๆได้อีกด้วยนะ ชอบตรงนี้!
ไปดูรายละเอียดและMap เส้นทางรถไฟ Kintetsuได้ตามลิงค์นี้เลย
>>https://www.kintetsu.co.jp/foreign/thai/ticket/krp.html
จุดจำหน่าย :: หลังจากรับกระเป๋าเสร็จเดินออกมาจะเจอกับ “Central Japan Travel Center” สามารถซื้อพาสได้ตรงนี้เลยค่ะ
Nabana No Sato Winter Illumination
หลังจากซื้อพาสเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปกันที่เที่ยวแรกของทริปเรากันเลย
นั่นก็คืองานเทศกาลไฟ Nabana No Sato ค่ะ
สำหรับที่นี่ถือเป็นงานไฟประดับที่ยิ่งใหญ่อลังการสุดๆแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นเลยนะ
โดยเค้าจะมีโซนต่างๆให้เราไปเดินชมและถ่ายรูปหลายจุดเลยค่ะ
ไฮไลท์เด็ดคืออุโมงค์ไฟที่ยาวมากๆ และการแสดงแสงสีที่เป็นภูเขาไฟฟูจิ บอกเลยเป็นจุดที่ห้ามพลาดเด็ดขาด อลังการสุดๆ
งานนี้จะจัดในวันที่20 ตุลาคม 2018 – 6 พฤษภาคม 2019 ค่ะ อย่าลืมใส่ที่นี่ลงไปในแพลนนะ
พิกัด:: Nagashima Resort เมืองคุวานะ จังหวัดมิเอะ
การเดินทาง :: ลงรถไฟสถานี Kintetsu-Nagashima (E12) จากนั้นต่อรถบัส Mie-kotsu ส่งถึงหน้างานเลยค่า
เวลาเปิด-ปิด :: 9.00-21.00 น.
ราคา :: 2,300 เยน (โดยจะได้คูปองซื้อของทานในงานได้ 1,000 เยน)
Gozaisho Ropeway
นั่งกระเช้าขึ้นภูเขา Gozaisho อันนี้เป็นที่ที่แนะนำว่าควรไปมากๆ จะบอกว่าในวันที่เราไปฝนมันตก ตกจริงจังเลยแหละ แต่ยังรู้สึกได้เลยว่ามันสวยมากจริงๆ
คือจะมาฤดูไหนก็สวยหมด ได้ฟิลแตกต่างกันไปค่ะ ถ้าได้มาช่วงหิมะก็คงจะยิ่งฟินสุดๆ
นี่ขนาดฝนตกใช่ไหม ก็ยังได้ฟิลนั่งกระเช้าทะลุสายหมอกสวยๆอ่ะ ดีงาม
กระเช้าจะพาเราขึ้นยอดเขาระยะทาง1,212 เมตรค่ะ นั่งประมาณ 15 นาทีก็ถึง
พอถึงด้านบนก็จะมีChair lift พาขึ้นไปยอดเขาอีกฝั่งนึงด้วย แต่ฝนตกไง อดขึ้นเลย เสียดายมากๆอ่า
พิกัด ::เมืองโคโมโนะ จังหวัดมิเอะ
การเดินทาง :: ลงรถไฟสถานี Yunoyama Onsen(K30) จากนั้นต่อรถบัส Mie-kotsu ส่งถึงทางขึ้นกระเช้าเลยค่ะ
เวลาเปิด-ปิด :: 9.00-17.00 น.
ราคา :: ผู้ใหญ่ 2,160 เยน / เด็ก 1,080 เยน (ใช้ Kintetsu Rail Pass เป็นส่วนลดได้)
ด้านบนจะเป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติ คือสวยเว่อร์!ตอนที่วิวมาคือใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีค่ะ ขนาดฝนตกยังฟินมากอ่ะคิดดู สองข้างทางเป็นสีส้มเหลืองแดง สวยมาก
และจะบอกว่าที่นี่ใช้Kintetsu Rail Pass เป็นส่วนลดได้อีกนะเออ
จากราคาปกติ 2,160เยน เหลือ 1,680เยน จ้า
Ise Jingu ศาลเจ้าอิเสะ
สำหรับศาลเจ้าอิเสะถือเป็นศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และถือว่ามีความสำคัญกับชาวญี่ปุ่นมากค่ะ ถึงขนาดที่ชาวญี่ปุ่นเอ่ยว่า “ต้องมาสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิต “ เพราะชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าศาลเจ้าอิเสะเป็นที่สถิตของเทพเจ้า Amaterasu หรือเทพเจ้าพระอาทิตย์ ที่ตรงกับชื่อของประเทศญี่ปุ่นที่ถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนอาทิตย์อุทัยนั่นเองค่ะ
ในทุกๆวันจะมีผู้คนหลั่งไหลกันมาสักการะบูชากันเยอะมาก ที่นี่จะมีศาลเจ้ากว่า 125 แห่ง แต่จะแบ่งออกเป็น 2 ศาลเจ้าหลักคือ Geku [ศาลเจ้าชั้นนอก]และ Naiku [ศาลเจ้าชั้นใน] โดยจุดแรกที่เรามาสักการะกันก่อนเลยก็คือGeku นั่นเอง
พิกัด :: เมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะ
การเดินทาง :: ลงรถไฟสถานี Iseshi(M73)เดินต่อ 5 นาที
เวลาเปิด-ปิด :: 5.00-18.00 น.
ราคา:: ฟรี
ออกจากสถานีรถไฟ จะเห็นเสาโทริอินี้อยู่ด้านหน้าสถานีเลยค่ะ และทางเดินที่ไปสู่ศาลเจ้าก็จะเป็นร้านค้าร้านอาหารต่างๆที่น่าสนใจเต็มไปหมด ใช้เวลาเดิน 5 นาทีก็ถึงด้านหน้าศาลเจ้าแล้วค่ะ แต่เชื่อว่าหลายคนต้องหยุดดูร้านนู้นร้านนี้นานแน่นอนกว่าจะเดินไปถึง ฮ่าๆ
เมื่อมาถึงแล้ว จะเจอตรงนี้ที่เรียกว่า โจซุยะ เป็นสถานที่สำหรับชำระล้างมือและปากก่อนเข้าสักการะค่ะ เหมือนเป็นการชำระล้างจิตใจและร่างกายในสะอาดซะก่อน
เข้าไปด้านในกันเล้ยย
ระหว่างทางเข้าไปสักการะศาลเจ้าตามจุดต่างๆ จะถูกรายล้อมไปด้วยความเขียวชุ่มของต้นไม้ ทำให้เรารู้สึกสงบมากค่ะ
นี่คือด้านหน้าศาลเจ้าหลัก และด้วยความที่แห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์มากๆ จึงไม่สามารถเข้าไปถ่ายรูปในตัวศาลได้ค่ะ
หลังจากที่เราได้เข้าไปสักการะแล้ว ก็รู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ และทำให้จิตใจสงบขึ้นเยอะเลย ^^
จาก Geku ศาลเจ้าชั้นนอก เราจะไปต่อกันที่Naiku หรือศาลเจ้าชั้นในค่ะ แต่ด้วยความที่ Naiku นั้นอยู่ไกลมาก จึงต้องขึ้นรถบัสไป
ซึ่งป้ายรถบัสก็อยู่ที่หน้า Geku นั่นเองค่ะ และแน่นอนว่าสามารถใช้Kintetsu Rail Pass ขึ้นได้ฟรีๆเล้ย
ลงจากรถบัสแล้วเดินต่อมาอีกประมาณ5 นาทีก็จะเจอกับเสาโทริอิหินยักษ์ใหญ่ด้านหน้าต้นนี้
เมื่อผ่านเสาโทริอิมาแล้วจะต้องเดินข้ามสะพาน อุจิบาชิ เพื่อข้ามแม่น้ำ Isuzugawa ที่ถือว่าเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าค่ะ
ซึ่งทางเดินบนสะพานนี้สวยดีงามมาก สามารถเดินชมแม่น้ำและถ่ายรูปสวยได้เพียบเลย
และแน่นอนว่า เมื่อเราเดินเข้าไปด้านในจนถึงตัวศาลแล้ว ไม่สามารถถ่ายภาพด้านในศาลได้ค่ะ
ถนน Oharai-machi
หลังจากสักการะศาลเจ้าที่Naiku เรียบร้อยแล้วเนี่ย มันจะมีถนนสายนึงที่อยู่ด้านหน้าศาลเจ้าเลยค่ะ
ชื่อว่า “โอฮาไรมาจิ” เป็นถนนที่มีอาคารบ้านเรือนที่รักษาฟิลแบบเก่าๆเอาไว้ โดยถนนเส้นนี้ยาวประมาณ1 กม. ฟิลลิ่งเหมือนถนนคนเดินเลยคือมีของขายเต็มสองข้างทาง เยอะแยะไปหมด ของกินยั่วใจเพียบ!!
มันน่ากินไปหมดทุกอย่างง
มาถึงเมืองอิเสะทั้งที ก็ต้องได้กินขนมขึ้นชื่อของที่นี่นะ ซึ่งบนถนนโอฮาไรมาจิ จะมีร้านเก่าแก่ที่ชื่อว่า “อะกะฟุกุ” ที่ขายขนมแบบดั้งเดิมที่ชื่อเดียวกับร้านเลยค่ะ ขนมอะกะฟุคุ ที่ถือเป็นขนมชื่อดังของเมืองนี้เลยนะ ลักษณะเป็นขนมไส้ถั่วห่อแป้ง ทานตอนร้อนๆคืออร่อยมาก ใครมาแล้วต้องห้ามพลาดเลย ซื้อไปชิมกันดู
Okage-yokocho
เดินบนถนนโอฮาไรมาจิ มาเรื่อยๆจนถึงประมาณช่วงกลางๆ มันจะมีจุดนึงที่เราห้ามพลาดเข้าไปเด็ดขาดเลยก็คือ “โอคาเกะ โยโคโจ” เป็นซอยที่มีของขายของกินเด็ดๆเยอะมากค่ะ
โดยคำว่า โอคาเกะ แปลว่า ขอบคุณ , โยโคโจ แปลว่า ซอย เมื่อมารวมกันจึงมีความหมายว่า ซอยขอบคุณ นั่นเองงงง
บรรยากาศร้านค้าภายในซอยนี้จะสร้างจำลองมาจากยุคสมัยเอโดะ-เมจิ ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปญี่ปุ่นในสมัยอดีตมากๆค่ะ
Meoto Iwa Rocks หินแต่งงาน
“เมะโอะโตะอิวะ” คือโขดหิน 2 ก้อนที่ตั้งอยู่ในทะเลที่อ่าวอิเสะค่ะ
ชาวบ้านเชื่อกันว่าหินก้อนใหญ่คือเจ้าบ่าว เรียกว่า “อิซะนะงิ” (เทพเจ้าแห่งท้องฟ้า แสงสว่าง และสรวงสวรรค์) และหินก้อนเล็กคือเจ้าสาว เรียกว่า “อิซะนะมิ” (เทพีแห่งโลก ความมืด และผืนแผ่นดิน) หินทั้งสองก้อนถูกคล้องด้วยเชือกฟางเส้นใหญ่ที่เรียกว่า “ชิเมนาวะ” มีลักษณะเหมือนกับด้ายมงคลบนศีรษะคู่บ่าวสาว ที่นี่จึงถูกเรียกว่า หินแต่งงาน ค่ะ
โดยส่วนใหญ่เค้าจะมาขอพรเรื่องคู่ครองกันที่นี่ แบบคนโสดก็จะมาขอให้เจอคู่ ส่วนคู่แต่งงานก็มาขอเพื่อให้รักยืนยาวนั่นเองค่ะ
พิกัด :: เมืองโทบะ จังหวัดมิเอะ
การเดินทาง :: ลงรถไฟสถานี Toba(M78) จากนั้นต่อรถบัสMie-kotsu ส่งถึงที่เลยค่ะ
ที่นี่เราจะเจอรูปปั้นกบเยอะแยะมาก เพราะเป็นความเชื่อของที่นี่ค่ะว่า กบเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งพืชพรรณธัญญาหาร จึงมีคนนำรูปปั้นกบมาถวายกัน
ผู้คนก็จะมาสักการะ และขอพรกันในเรื่องคู่ครองกันที่นี่มากมายเลยค่ะ
AMA Hachiman Kamado
มาจังหวัดมิเอะทั้งที จะพลาดกินอาหารทะเลสดๆได้ยังไง ที่นี่คือ “กระท่อมอามะ” ที่เมืองโทบะ จังหวัดมิเอะค่ะ
บอกเลยว่าสาย Seafood ต้องห้ามพลาด เพราะที่นี่เราจะได้พบกับ อามะจัง หรือ สาวนักประดาน้ำ ที่เป็นอาชีพดั้งเดิมที่สืบต่อกันมาหลายร้อยปี โดยอามะจังจะดำน้ำแบบ Freedive ไปเก็บหอยเก็บอาหารทะเลสดๆมาให้เราค่ะ
โดยเฉพาะวัตถุดิบที่ถือเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดนี้เลยก็คือ กุ้งอิเสะ นั่นเองง
แล้วแบบว่าปิ้งกินกันสดๆ ฟินๆ กุ้งนี่เอาขึ้นมาจากทะเลสดๆ ยังดิ้นอยู่เลยอ่ะขอบอก
แถมยังได้พูดคุยกับ อามะจัง ทำให้ได้รู้เรื่องราวและวิถีชีวิตของเหล่าอามะจังด้วยค่ะ
ถือเป็นกิจกรรมที่ทั้งอิ่มท้อง ทั้งได้เรียนรู้ สนุกมากๆ
พิกัด :: เมืองโทบะ จังหวัดมิเอะ
การเดินทาง :: สถานีรถไฟ Toba(M78) จากนั้นจะมี Shuttle bus ของกระท่อมอามะมารับค่ะ
รอบเวลารถ Shuttle bus :: ขาไป 11.30/13.00/14.30ขากลับ 12.10/13.40/15.10/16.40
ราคา :: มีให้เลือก 4 แบบ 4 เซ็ทค่ะ ราคาตั้งแต่ 3240-9720 เยนต่อท่าน
ดูรายละเอียดและเข้าไปจองได้ที่>> http://amakoya.com/amahuthachimanreserve.htm
นอกจากจะย่างให้เรากินกันแล้ว ยังแกะกุ้งให้ด้วยแน่ะ น่ารักสุดๆเลย ^^
และแต่ละท่านก็ยังแข็งแรงด้วยค่ะ บางท่านอายุ80 กว่าปีแล้วนะ แต่ก็ยังสามารถที่จะดำน้ำได้สบายๆอยู่เลย
Shuttle bus คันนี้แหละค่า ที่จะมารับ-ส่งเราไปกระท่อมอามะกัน อยู่ที่สถานีรถไฟ Toba เลย
Ninja Museum of Igaryu
ที่จังหวัดมิเอะ จะมีเมืองๆนึงที่ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งนินจา ที่ชื่อว่า เมืองอิงะ (IGA)ค่ะ
เชื่อว่าหลายๆคนคงคุ้นหูกับคำว่า นินจาอิงะ กันบ้างแหละ เพราะถือเป็นอีกสำนักนึงที่เป็นต้นกำเนิดของนินจาสาย IGA ที่มีชื่อเสียงคู่กับนินจาสาย KOGA ว่ากันว่าสาย IGA จะมีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้และใช้อาวุธ ส่วนสาย KOGA จะเชี่ยวชาญเรื่องสืบความลับและปรุงยาค่ะ
พิกัด :: เมืองอิงะ จังหวัดมิเอะ
การเดินทาง :: สถานีรถไฟ Iga-Kambe(D52) จากนั้นต่อรถไฟสายIga Railway ลงสถานี Uenoshi ค่ะ
เวลาเปิด-ปิด :: 9.00-17.00 น.
ราคาเข้าชมพิพิธภัณฑ์ :: ผู้ใหญ่ 756 เยน / เด็ก 432เยน (ใช้ Kintetsu Rail Pass เป็นส่วนลดได้)
ราคาเข้าชมNinja Show :: 400 เยน
สำหรับการเดินทางมาสู่เมืองนินจาแห่งนี้ จะธรรมดาได้ไง !! เราก็ต้องนั่งรถไฟสายนินจากันมาเซ่!
ซึ่งรถไฟสายIga Railway นี้จะมีความน่ารักตรงที่ลายรถไฟจะเป็นรูปการ์ตูนนินจานั่นเองค่ะ โดยรถไฟสายนี้ก็สามารถใช้ Kintetsu Rail Pass ขึ้นได้ฟรีๆอีกเช่นกันนะ
เมื่อมาถึงNinja town แล้ว ที่แรกที่เราไปกันก็คือ พิพิธภัณฑ์นินจาอิงะริว ค่ะ โดยตัวพิพิธภัณฑ์จะแบ่งออกเป็น2 ส่วน
ซึ่งจุดแรกที่เราจะไปชมกันก็คือ ตัวบ้านนินจา โดยที่นี่จะมีนินจาฝึกหัดนำเข้าไปและอธิบายถึงวิถีของนินจา พร้อมทั้งสาธิตกลไกลับต่างๆภายในบ้านที่ซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ ซึ่งถ้าไม่มีนินจาแนะนำ เราจะมองไม่ออกเลยว่าตรงไหนมีกับดักซ่อนอยู่บ้าง
นอกจากการพาชมบ้านนินจา ยังมีในส่วนที่จัดแสดงโชว์และให้ความรู้เกี่ยวกับนินจาในด้านต่างๆอีกค่ะ
ทั้งประวัติความเป็นมา เครื่องแต่งกาย และอาวุธต่างๆ
เสร็จจากชมพิพิธภัณฑ์ เราก็มาต่อกันที่เข้าชม Ninja Show ค่ะ
จะบอกว่าอันนี้ใครที่มาเมืองนินจาแล้วต้องมาชมให้ได้นะ เป็นการแสดงการต่อสู้ และวิธีใช้อาวุธต่างๆของนินจา โดยแฝงความตลกความสนุกสนานเอาไว้ค่ะ
คือการแสดงเป็นภาษาญี่ปุ่นนะ แต่ถึงเราฟังไม่ออกเค้าก็สามารถสื่อออกมาให้เรารู้สึกสนุกและฮาไปด้วยได้เลยค่ะ เก่งกันมากๆ
ราคาเข้าชม Ninja Show 400 เยนค่ะ
โดยสามารถเช็ครอบการแสดงในแต่ละวันได้ตามลิงค์นี้เลย>> http://www.iganinja.jp/showscheen/
Iga Ueno Castle
ก่อนออกจากเมืองนินจา เรายังได้เข้าไปเดินเล่นที่สวน อิงะอุเอโนะ (Iga-Ueno Koen) ซึ่งภายในสวนเป็นที่ตั้งของปราสาทอิงะอุเอโนะ ค่ะ
ที่นี่เป็นปราสาทแบบดั้งเดิมที่รอดพ้นจากระเบิดในช่วงสงคราม และมีผู้ออกแบบคนเดียวกับปราสาทโอซาก้าและปราสาทเอโดะ
จุดเด่นของปราสาทนี้คือ กำแพงหินที่สูงถึง 30 เมตรเลยค่ะ ถือว่าสูงที่สุดในญี่ปุ่นเลย
บริเวณในสวนรอบๆปราสาทสวยมากๆๆๆ เดินเล่นชิลๆ และมีจุดให้ได้ถ่ายรูปสวยๆกลับไปเพียบเลยค่ะ
Osaka Aquarium Kaiyukan
จากจังหวัดมิเอะ เราก็ขอแถมด้วยการไปเที่ยวที่โอซาก้ากันก่อนกลับ
อย่างที่บอกว่าไอ้เจ้า Kintetsu Rail Pass เนี่ย มันครอบคลุมไปถึงโอซาก้าด้วย เพราะงั้นเราก็สามารถเดินทางจากมิเอะเข้าสู่โอซาก้าโดยใช้พาสนี้ได้เลยจ้า
และที่เที่ยวที่โอซาก้าที่เราไปกันก็คือ Osaka Aquarium Kaiyukan หนึ่งในที่ที่เมื่อมาถึงโอซาก้าแล้วต้องมาให้ได้ เพราะที่นี่ถือเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก!! มีสัตว์น้ำให้ชมที่นี่กว่า620 ประเภท จำนวนกว่า 30,000 ตัวเลยค่ะ
คือมันใหญ่โตมากๆ เอารูปมาอวดได้ไม่หมดจริงๆ
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ลิงค์นี้เลย >>http://www.kaiyukan.com/language/thai/
การเดินทาง :: สถานีรถไฟ Osaka-Namba(A01) จากนั้นต่อรถไฟสายSubway Chuo Line ลงสถานี Osakako ค่ะ
เวลาเปิด-ปิด :: 10.00-20.00 น.
ราค:: ผู้ใหญ่ 2,300 เยน / เด็ก 1,200 เยน
จุดไฮท์ไลท์ของที่นี่ คือเจ้าตู้แมงกะพรุนเรืองแสง ที่ใครมาต้องถ่ายรูปนะ คือสวยงามอลังการมากๆ
นอกจากตรงตู้นี้แล้ว ที่นี่ยังมีแมงกะพรุนหลายร้อยชนิดให้เราได้ชมกันด้วยค่ะ
Dotonbori
แถมส่งท้ายก่อนกลับของจริง กับ Landmark สุดฮิตของโอซาก้า ที่ใครไม่ได้มาที่นี่แล้วเหมือนมาไม่ถึงโอซาก้านะ
กับย่าน Dotonbori แหล่งกินแหล่งช้อปสุดฮิตของที่นี่เค้าแหละ
แล้วก่อนกลับเราก็จะมาเสียทรัพย์กันแบบสุดเหวี่ยงกันที่นี่แหละจ้า จะกินอะไรหรือซื้อของฝากใครก็มีให้เลือกเยอะแยะไปหมด
การเดินทาง :: สถานีรถไฟ Osaka-Namba(A01)
ส่งท้ายทริปนี้ ด้วยรูปคู่กับป้ายกูลิโกะ จุดถ่ายรูปยอดฮิต ที่ใครมาย่าน Dotonbori ก็ต้องแซะภาพกันตรงนี้ไปเช็คอินอวดโซเชี่ยลกันแหละ
เสร็จจากกินและช้อปย่านนี้เราก็มุ่งสู่สนามบินคันไซ เพื่อกลับบ้าน โดยสายการบิน AirAsia X เช่นเคยค่ะ
หวังว่ารีวิวนี้จะสามารถช่วยให้เพื่อนๆที่กำลังวางแพลนเที่ยวญี่ปุ่น ได้มีลิสที่เที่ยวในดวงใจเพิ่มขึ้น และเดินทางตามรอยเรามาได้นะคะ ^^